เกษตรยุคใหม่ต้องรู้จักปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มุ่งแต่จะทำเกษตร ปลูกพืชขายอย่างเดียวคงยากที่จะรุ่ง ลองมาดูแนวทางการทำเกษตรเชิงท่องเที่ยวกันดีกว่า ถ้าเราทำเกษตรอยู่แล้ว ดัดแปลง และ เพิ่มไอเดียอีกนิด เปลี่ยนสวนเกษตรเราให้เป็นสวนเกษตรเชิงท่องเที่ยว ให้เข้ากับยุคสมัยที่ผู้คนชอบการท่องเที่ยว ชอบการถ่ายรูป อัพสเตตัสสวยๆในโลกออนไลน์ ผู้ที่ชื่นชอบความงามในธรรมชาติ

ถ้าท่านตอบโจทรย์ตรงนี้ให้คนกลุ่มนี้ได้ การทำสวนโฮมสเตย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร รู้ไหมว่าว่ารายได้ที่ติดตามมานั้น มีทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าของฝาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนหาได้จากในไร่สวนของเราเอง เรียกได้ว่า ลงทุนลงแรงครั้งเดียว แทบจะเป็นเจ้าของรีสอร์ทย่อมๆเลยทีเดียว

1. สถานที่ หากเรามีสวนเกษตรอยู่ในมือแล้ว ข้อนี้ก็ข้ามไปได้เลยครับ แต่หากยังไม่มีก็ต้องหาซื้อที่ดินที่คิดว่าอยู่ในสภาพที่ ดินดี น้ำอุดมสมบูรณ์ มีวิวทิวทัศน์เป็น ภูเขา เขื่อน แม่น้ำ ฯ เหมาสำหรับทำเกษตรแทรกลงไปสำหรับการเดินทางไม่ควรไกลจากแหล่งชุมชนนัก

2. วางแบบแปลนคร่าวๆ มีห้องพักกี่ห้อง อะไรตรงไหน มีกิจกรรมอะไรบ้าง เพียงแค่จัดระบบระเบียบ จัดมุมนั่งจิบกาแฟเก๋ๆ หรือ ใส่เรื่องราวลงไป ให้มีความสะอาดตา และ มีจุดขาย เช่นสวนผลไม้ สวนผัก ที่สามารถให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพได้ หรือ ถ่ายภาพกิจกรรมการปลูกต้นไม้ การเก็บผัก เก็บผลไม้ เพราะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คือคนในชนบทที่ย้ายถิ่นฐานเข้าไปทำงานในเมือง ล้วนคุ้นเคยกับบรรยากาศตามชนบทเป็นอย่างดี เมื่อมาสัมผัสบรรยากาศอบอุ่น เป็นกันเองในสวน ก็ทำให้หวนคิดถึงบ้าน คิดถึงสมัยก่อน

4. เสาร์อาทิตย์นึกสนุกก็ชวนเพื่อนขับรถมาหา เอากล้าไม้มาปลูก เอาลูกปลามาปล่อย มาถางหญ้าบ้าง (ถ้าต้นไม้โตแล้วร่มเงาจะทำให้ไม่มีหญ้าครับ) มาลองตั้งเตนท์แคมป์ปิ้ง ชวนพรรคพวกมาถ่ายนก ถ่ายแมลง ( การที่มีผู้คนมาถ่ายรูปอัพลงโซเชียลบ่อยๆ เป็นการเรียกแขก และ โฆษณาไปในตัว ถ้าผู้ที่เคยมาเข้าพักประทับใจก็จะเกิดการแนะนำแบบปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้าเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ) ฯลฯ ข้อนี้จะทำให้เราเริ่มได้แขกจากคำแนะในของเพื่อนๆ

5. ข้อสำคัญพยามยามอย่าใช้เงินกู้ ใช้เงินเก็บ เพราะถึงโครงการรีสอร์ทไม่เวิร์ค คุณก็ยังมีสวนเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่ถูกแบงค์ยึดหมดเนื้อหมดตัว อย่างที่สวนตรีแอนด์โฮมสเตย์ เจ้าของลงมือทำเอง โดยเริ่มจาก เล็กๆ น้อยๆ ทำไปทีละส่วน ด้วยวัสดุจากธรรมชาตืที่หาได้ในท้องถิ่น ทำให้ช่วยลดภาระในเรื่องต้นทุนได้มากทีเดียว

6. ที่พักไม่ต้องเริ่ดหรู แค่สะดวกสบายพอสำหรับ 1-2 คืน ที่สำคัญคือห้องน้ำห้องท่าสำหรับแขก ซึ่งเรื่องนี้ช่วยเพิ่มคะแนนคอมเม้นจากแขกหลายๆคนครับว่าถึงแม้ห้องจะเล็กหน่อย ไม่มีแอร์ แต่ก็สบายดีได้บรรยากาศแบบไร่สวน ได้สูดอากาศยามเช้า ซึ่งนี่เป็นจุดขายครับ

7.อาหารที่มาจากสวนของเราเอง ไม่ว่าจะเป็น ไก่ ปลา ผัก ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในการนำมาทำอาหารให้ลูกค้า เนื่องจากเราขายความเป็นสวนปลอดสารพิษลูกค้าแม้จะได้กินอาหารที่ไม่ได้ดีมากระดับโรงแรมแต่ก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่ารับรู้ถึงรสชาติของผักสดๆ เนื้อปลาใหม่ๆ และที่สำคัญดีต่อสุขภาพของพวกเขา ซึ่งนั่นเป็นการเติมเต็มวันพักผ่อนให้พวกเขาได้เป็นอย่างดี

และนี่คือตัวอย่างความสำเร็จ ในการทำสวนเกษตรเป็นโฮมสเตย์ ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ และเรียนรู้วิถีชีวิตการเป็นเกษตรกร

ตัวอย่างจาก บ้านสวนตรีโฮมสเตย์

แปลงผักเล็กๆ ที่ถูกปลูกและจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม และ บ่อน้ำ พร้อมด้วยเถียงนาหลังเล็ก รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่

สะพานไม้ไผ่ของบ้านสวนตรีโฮมแอนด์สเตย์ สวยงามมาก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นจุดขายของที่นี่เลย

นั่งจิบกาแฟและขนมปังริมน้ำชิลๆ ในช่วงเช้า ดูปลาในบ่อว่ายน้ำไปมา ฟินเวอร์

อยู่อย่างพอเพียงอย่างแท้จริง

โต๊ะกินข้าวที่เห็นวิวป่าไม้สีเขียวไกลสุดลูกหูลูกตา

เปลริมสวน นอนรับลงธรรมชาติ ชมนกชมไม้ชิลๆ

ขอบคุณที่มา  สวนตรีแอนด์โฮมสเตย์