วิธีปลูก ถั่วพลู ฉบับจับมือทำ

ถั่วพลูเป็นพืชที่นิยมปลูกเป็น ผักสวนครัว แต่สำหรับการปลูกเพื่อทำเป็นการค้า จะนิยมปลูกเพื่อ 3 จุดประสงค์ คือ ปลูกเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์(ขยายพันธุ์) ปลูกเพื่อเก็บฝักอ่อนขาย และปลูกเพื่อเก็บหัวขาย ถั่วพูยังเป็นพืชที่นิยมปลูกเป็นพืชคลุมดิน เมื่อถั่วพลูออกดอกจะไถกลบลงดิน ในรากของถั่วพลูมี ไนโตรเจน สูงมาก ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของพืชชั้นดี

แหล่งที่ปลูก

  • อุณหภูมิในแถบ เอเชีย เหมาะสมต่อการปลูก ถั่วพลู จึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
  • ดินร่วนปนทราย ซึ่งเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี
  • ค่า PH เป็นกลาง หรือ 6 – 7
  • ควรได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน
  • ต้องการน้ำมาก

การเตรียมเมล็ดก่อนเพาะ

  • การเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ ควรซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ มีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้อง ซึ่ง ถั่วพลูมีอยู่ไม่กี่สายพันธุ์ เนื่องจากเป็นเมล็ดผสมเปิดหรือop(สามารถหากความรู้เพิ่มเติม เรื่อง เมล็ดพันธุ์ผัก op ต่างกับ เมล็ดพันธุ์ผัก F1 อย่างไร ได้ที่นี่) จึงไม่ค่อยมีความแตกต่างกันทางผลผลิตมาก กระผมจึงแนะนำให้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่เก็บเมล็ดอย่างถูกวิธี ปราศจากโรคและแมลง เช่น เมล็ดพันธุ์ถั่วพลู กำแพงแสน ตราศรแดง และ เมล็ดพันธุ์ถั่วพลู ตรางอบทอง เป็นต้น
  • แช่เมล็ดก่อนลงปลูกด้วยน้ำอุ่น ประมาณ 1 คิน จากนั้นบ่มทิ้งไว้ จนเมล็ดรากเริ่มงอก จึงนำลงปลูก (วิธีนี้จะช่วยให้เมล็ดขึ้นเร็ว และงอกสม่ำเสมอ)

การเตรียมดิน

ไถพรวนดิน หลังจากนั้นตากดินทิ้งไว้ประมาณ 2 อาทิตย์ เพื่อกำจัด วัชพืช โรค ไข่ และตัวอ่อนของแมลง ในดิน และใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก 2 – 3 ต้น/ไร่ เพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์

การปลูกถั่วพลู

วิธีการปลูก

  • วิธีการปลูกแบบเพาะกล้า

นำดินเพาะปลูกใส่ในถาด หรือถุงเพาะชำ และหยอดเมล็ดลงในถาดหรือถุงเพาะที่เตรียมไว้ ถาดหรือถุงละ 3 – 5 เมล็ด จากนั้นรดน้ำ วันละ 1 – 2 ครั้ง ดูแลจนครบ 15 วัน จึงย้ายกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้  ซึ่งจำเป็นต้องยกร่องสำหรับป้องกันน้ำท่วม ความกว้างของร่องประมาณ 30 ซม. และความสูงประมาณ 20 ซม. บนร่องหลุมทำหลุมปลูกระยะห่าง ระหว่างหลุมประมาณ 60 – 120 ซม. และระยะห่างแถว  1 – 2 เมตร 30 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก และปุ๋ยรองพื้น สูตรเสมอ เช่น 16 – 16 – 16 เป็นต้น

  • วิธีการปลูกแบบหยอดเมล็ดโดยตรง

การเตรียมหลุมปลูกจำเป็นต้องยกร่องเช่นกัน ความกว้างของร่องประมาณ 30 ซม. และความสูงประมาณ 20 ซม. บนร่องหลุมทำหลุมปลูกระยะห่าง ระหว่างหลุมประมาณ 60 – 120 ซม. และระยะห่างแถว  1 – 2 เมตร 30 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก และปุ๋ยรองพื้น สูตรเสมอ เช่น 16 – 16 – 16 เป็นต้น เช่นเดียวกับวิธีเพาะกล้า

การดูแลแลรักษา

การให้น้ำ

รดน้ำวันละ 1 – 2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความชื้นในดิน แต่ควรระวังการรดน้ำในช่วงเย็น อาจทำให้ถั่วพลูชื้นและเกิดโรคได้ ในทางกลับกันหากถั่วพลูขาดน้ำ ก็อาจทำให้ผลผลิตหดสั้นเช่นเดียวกัน

การใสปุ๋ย

แบ่งได้ทั้งหมด 3 ช่วงอายุ

  1. ระยะแรก ใส่ปุ๋ยที่เน้นตัวหน้าสูง เพื่อเร่งการเจริญเติบโต เช่น สูตร 25-7-7 หรือ สูตรเสมอ เป็นต้น
  2. ระยะถั่วพลูเริ่มแทงช่อดอก(ประมาณ 60 วัน) ใส่ปุ๋ยที่เน้นตัวกลางสูง เพื่อบำรุงดอก เช่น 8 -24 -24 เป็นต้น ทุกๆ 15 วัน
  3. ระยะถั่วพลูให้ผลผลิต ใส่ปุ๋ยที่เน้นตัวกลาง และตัวหลังสูง เพื่อบำรุงทั้งดอกที่เพิ่งแทงใหม่ และเพิ่มน้ำหนักผล สร้างแป้งไปพร้อมๆกัน เช่น 8 – 24 -24 หรือ 13 -13 -21 เป็นต้น ทุกๆ 15 วัน

การทำค้าง

ถั่วพลูสามารถปลูกได้ทั้งแบบค้าง และไร้ค้าง แต่หากปลูกแบบค้างจะให้ผลผลิตที่ดีกว่า และค้างที่นิยมใช้ คือ ค้างแบบซุ้ม โดยสามารถหากความรู้เพิ่มเติม เรื่อง วิธีทำค้างผัก ได้ที่นี่

วิธีการเก็บเกี่ยว

  • เก็บฝักอ่อน อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 70 – 100 วัน หลังปลูก และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 2 เดือน ต้นจะเหี่ยวลง เมื่อรดน้ำใส่ปุ๋ย เหง้าจะเจริญขึ้นและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อีกครั้ง
  • เก็บหัว หัวจะเริ่มงอกให้เห็นเมื่อ ถั่วพลู อายุประมาณ 2 เดือน

ต้นทุนการผลิต แตงโมต่อพื้นที่ 1 ไร่

  • ค่าเมล็ดพันธุ์ 330
  • ค่าเตรียมดิน 2500
  • ค่าปุ๋ย 2400
  • ค่าสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 900
  • ค่าอื่นๆ เช่น ไม้ปักค้าง ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 430

ผลตอบแทน

2000 กก./ไร่ x ราคาขาย 25 บาท/กก. รวมรายได้ประมาณ 50000 บาท/ไร่

โรคของถั่วพลู

โรคราสนิม

สาเหตุ เชื้อรา Uromyces fabae Pers

ลักษณะอาการ ใต้ใบถั่วฝักยาวจะมีจุดขนาดเล็กสีน้ำตาลแดงคล้ายสนิม จะเกิดกับใบล่างๆของลำต้นก่อน เมื่เกิดอาการรุนแรงจะทำให้ใบร่วงหล่น

การป้องกันกำจัด

  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม triazole เช่น ไดฟีโนโคนาโซล(อลิซ) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Inorganic เช่น ซัลเฟอร์(ไมโครไธออล กำมะถันเนื้อทอง) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Chloronitrile เช่น คลอโรทาโลนิล(ลีนิล) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Alkylenebis เช่น แมนโคเซป  เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Dimethyldithiocarbamate เช่น ไทแรม(ไธอะโนซาน) เป็นต้น

โรคใบจุด

สาเหตุ เชื้อรา Cercospora sp.

การแพร่ระบาด แพร่ระบาดไปกับลมและฝน

ลักษณะอาการ มีแผลเป็นจุดสีน้ำตาล บริเวณกลางแผลมีสีเทา ในอาการที่รุนแรงใบถั่วฝักยาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล

การป้องกันกำจัด

  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม triazole เช่น เตตระโคนาโซล(ดูมาร์ค) หรือ ไดฟีโนโคนาโซล(สกอร์) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Inorganic เช่น คอปเปอร์ ไฮดรอกไซด์(ฟังกูราน) หรือ ซัลเฟอร์(ไมโครไธออล กำมะถันเนื้อทอง) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Chloronitrile เช่น คลอโรทาโลนิล(ลีนิล) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Strobilurin เช่น อะซอกซีสโตรบิน(อมิสตา) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Benzimidazole เช่น คาร์เบนดาซิม(อาเค่น) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Alkylenebis เช่น แมนโคเซป(ฮัมบรูก) หรือ โพรพิเนบ(แอนทาโคล) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Dimethyldithiocarbamate เช่น ไทแรม(ไธอะโนซาน) เป็นต้น

แมลงศัตรูพืชของถั่วพลู

หนอนกระทู้ผัก

หนอนกระทู้ผัก

ลักษณะการทำลาย ตัวหนอนจะกัดกินใบ ก้านใบหรือเข้าทำลายหัวปลี ทำลายเป็นหย่อมๆ ตามจุดที่ผีเสื้อวางไข่

แนวทางการป้องกันกำจัด

  • เก็บไข่และตัวหนอนไปทำลาย
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Pyrethoid เช่น ไซเพอร์เมทริน (ฮุค)  หรือ เดลทาเมทริน (เดซิส) เป็นต้น
  • ใช้ (ยาฆ่าแมลงจากธรรมชาติ)
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Avermectin เช่น อะบาเมกติน (ต็อดติ) หรือ อิมาเม็กตินเบนโซเอต(เดอะฮัก) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Oxadiazine เช่น อินดอกซาคาร์บ (แอมเมท)  เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Arylpyrrole เช่น คลอร์ฟีนาเพอร์ หรือ คลอร์ฟีนาเพอร์(แรมเพจ) เป็นต้น

เพลี้ยอ่อน

ลักษณะการทำลาย ดูดกินน้ำเลี้ยงของยอดและฝักถั่วฝักยาว ทำให้ลำต้นแคระ ฝักมีขนาดเล็กลง

การป้องกันกำจัด

  • กำจัดวัชพืชบริเวณแปลงปลูก – ใช้สารเคมีในกลุ่ม carbamate เช่น คาร์โบซัลแฟน(พอส) เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีกลุ่ม Pyrethroid เช่น ไซเพอร์เมทริน(ฮุค),เดลทาเมทริน(เดซิส), เพอร์เมธริน,  เรสเมธริน,  หรือ ไบโอเรสเมธริน เป็นต้น
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Organophosphate เช่น โพรฟีโนฟอส(เปเป้) หรือ คลอร์ไพริฟอส(อูดิ) เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีสาร คลอไพริฟอส+ไซเพอร์เมทริน(เดอะ เดครัส)
  • ใช้สารเคมีในกลุ่ม Neonicotinoid  เช่น ไดโนทีฟูแรน(สตาร์เกิล) , ไทอะมีทอกแซม(เซนน่า) หรือ อิมิดาโคลพริด(ฟาเดีย) เป็นต้น
  • ฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สะเดา ผสมกับน้ำผงซักฟอกเจือจาง

เพลี้ยไฟลักษณะการทำลาย   ดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อน ทำให้ปลายใบเหี่ยวขอบใบม้วนหงิก โดยจะเริ่มเป็นจากยอดอ่อนของแตงโม

วิธีการป้องกัน    

  1. อย่าให้พืชขาดน้ำ เพราะจะทำให้พืชอ่อนแอ
  2. ใช้สารเคมีในกลุ่ม carbamate เช่น คาร์โบซัลแฟน(พอส) เป็นต้น
  3. ใช้สารเคมีในกลุ่ม spinosyn เช่น สไปนีโทแรม(เอ็กซอล) เป็นต้น
  4. ใช้สารเคมีในกลุ่ม Pyrethroid เช่น ไซเพอร์เมทริน(ฮุค),เดลทาเมทริน(เดซิส), เพอร์เมธริน,  เรสเมธริน,  หรือ ไบโอเรสเมธริน เป็นต้น
  5. ใช้สารเคมีในกลุ่ม phenylpyrazole เช่น ฟิโพรนิล(แอสเซนด์) เป็นต้น
  6. ใช้สารเคมีในกลุ่ม Organophosphate เช่น โพรฟีโนฟอส(เปเป้) เป็นต้น
  7. ใช้สารเคมีในกลุ่ม Avermectin เช่น อะบาเม็กติน(ต็อดติ), อิมาเม็กตินเบนโซเอต(เดอะฮัก) เป็นต้น
  8. ใช้สารเคมีในกลุ่ม Neonicotinoid  เช่น ไดโนทีฟูแรน(สตาร์เกิล จี) , ไทอะมีทอกแซม(เซนน่า) หรือ อิมิดาโคลพริด(ฟาเดีย) เป็นต้น
  9. ใช้สารเคมีประเภทสารจับใบ