การทำเกษตรไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนไม่เคยทำ แต่ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับเกษตรกรที่ มีประสบการณ์ หรือ ใครก็ได้ที่มีความตั้งใจ และเรียนรู้ก่อน ที่จะลงมือทำ โดยทางผู้เขียนได้ให้ข้อคิดดีไว้ว่า “การทำเกษตร ใช้ใจทำ ไม่ใช่ใช้เงินทำ” เพราะถ้าใช้เงินทำ และถ้าเงินหมด ก็คงจะทำอะไรต่อไม่ได้
1. มีที่ดิน เท่าไหร่ เพราะการทำเกษตรและให้ได้เงินล้าน ควรจะต้องมีทีดินไม่ต่ำกว่า 10 ไร่ แต่ถ้ามีทีดิน น้อยกว่านั้น ก็สามารถทำได้ แต่อย่าคาดหวัง สูง ทำแบบเศรษฐกิจพอเพียงไปก่อน และวันหนึ่ง มีประสบการณ์รายได้เพิ่มขึ้น มากถึงระดับที่ต้องการได้
2. เกษตรกรรมเป็นอาชีพที่ “เหนื่อย” แม้จะเป็นสมาร์ตฟาร์มเมอร์ ที่หาเครื่องทุ่นแรงมาใช้มากมาย ก็ไม่วายต้องเหนื่อยในช่วงเริ่มต้น แต่ถ้ายังมีฝัน ลองถามตัวเองว่า มีความสุขที่ต้องทำงานกลางแดด กลางลม เหงื่ออาบร่างแทบทั้งวันหรือไม่
3. อย่าหลงใหลได้ปลื้ม ไปตามหน้าปกหนังสือ ปลูกไอ้โน่นได้เงินล้าน ปลูกไอ้นี่ได้เงินล้าน เพราะในความเป็นจริง ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป ต้องมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ดังนั้น อย่าคิดว่าจะปลูกตามใคร แต่จงปลูกตามที่สนใจ และดูทิศทางศึกษาตลาดควบคู่ไปด้วย
4. ศึกษาหาความรู้ให้มากพอก่อนที่จะลงมือทำ อย่าทดลองแบบสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่รู้อะไรเลย ความรู้ที่ว่านี้ ไม่เพียงทำความเข้าใจพืชชนิดที่จะปลูกเท่านั้น แต่เรื่องดิน น้ำ อากาศ ธาตุอาหาร วิธีการรับมือกับโsคและแมลง ล้วนแต่เป็นความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
5. ควรมีพื้นที่ของตัวเอง เพราะการไปเช่าอาจโดนค่าเช่าผลาญรายได้ไปหมด บางรายก็ใช้วิธีซื้อด้วยเงินที่เก็บหอมรอมริบมา แบบนี้ก็ยังพอได้ เพราะคิดเสียว่า ออมเงินในรูปของอสังหาริมทรัพย์ จะได้สบายใจ เพราะหากนำต้นทุนค่าที่ดิน มารวมเป็นต้นทุนในการทำเกษตรกรรมมด้วย อาจหมดแรงใจไปเสีย ก่อน และต้องเตรียมเงินทุนให้พร้อม เพราะการทำเกษตรจะต้องรอเก็บเกี่ยวผลผลิต อาจจะมากถึง 5-6 เดือน หรือ ขั้นต่ำ 2-3 เดือน ถึงจะมีรายได้ และช่วงเวลาที่รอ ซึ่งก็ต้องใช้เงิน แต่เงินไม่ได้เข้ามาเหมือนกับการเป็นลูกจ้าง ที่มีเงินเข้ามาประจำทุกเดือน
6. การทำเกษตร ต้องใช้เวลาทำงาน มากกว่า การเป็นลูกจ้าง เพราะทำงานประจำใช้เวลาแค่ เวลางาน แต่พอทำเกษตร คุณอาจจะต้องใช้เวลาทั้งวัน โดยไม่มีวันหยุด เพราะต้องดูแลเอาใจเพื่อฟูมฟักให้พืชนั้น เติบโต เหมือนกับการดูแลเด็กน้อยคนหนึ่งให้เติบใหญ่ ดังนั้นเตรียมใจให้พร้อม
7. การดูแลใส่ใจ มีผู้กล่าวว่า พืชก็เจริญเติบโตไปถึงนั่น ซึ่งตีความได้ถึง “ความใส่ใจ” เจ้าของควรหมั่นเดินตรวจตรา ดูความเปลี่ยนแปลง สังเกตพืชพันธุ์ที่ตัวเองปลูกทุกต้น บ่อยเท่าที่จะเป็นไปได้
Related posts